ลิ้งค์บทความ เรื่อง ภาษาของครูที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเด็ก
ภาษาของครูที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเด็ก
การใช้ภาษาของครูที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเด็ก
นางสาวชัชมา เทพวรสุข
รหัส 571761321017
บทนำ
ภาษามีบทบาทและหน้าที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร สื่อความหมายให้เข้าใจซึ่งกันและกัน ประกอบด้วยการรับข้อมูล และการส่งข้อมูล ผ่านการคิดและสัญลักษณ์ เป็นระบบการสื่อสารที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์กลุ่มชนที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม โดยใช้ทักษะภาษาทั้ง 4 ด้านคือ พูด ฟัง อ่าน เขียน ความหมายของภาษาคือ ภาษาเป็นระบบสัญลักษณ์และความคิดที่สื่อออกมาด้วยการพูดเขียนและใช้เสียง ภาษามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตเช่น การสื่อสาร การคิด การเรียนรู้ ใช้เพื่อแสดงความต้องการ ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งถ้าหากขาดการเรียนรู้ทางภาษาย่อมทำให้ก้าวไม่ทันเหตุการณ์ต่างๆ (พัชรี ผลโยธิน, 2540)
โดยเฉพาะภาษาในเด็กปฐมวัย เพราะเป็นรากฐานสำคัญและมีความจำเป็นที่สุดต่อการพัฒนาทางด้านต่างๆ ในเด็กก็เช่นกันใช้ภาษาในการสื่อสารความคิดความต้องการของตนเองกับผู้อื่น ซึ่งก่อให้เกิดกระบวนการทางสังคม โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือแสดงความต้องการ ความช่วยเหลือ เช่นเดียวกับภาษาของผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือ ผู้เลี้ยงดูเด็กนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาบุคลิกภาพและพัฒนาการของเด็กได้และในการสื่อสารของผู้ใหญ่กับเด็กในช่วงปฐมวัยนั้น ทำให้เด็กเกิดการแสดงออกทางอารมณ์ และเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดทำให้รับรู้ถึงความต้องการของเด็กเป็นรายบุคคล คำพูดที่ออกมาจากผู้ใหญ่สู่เด็กนั้น ล้วนมีผลกระทบต่ออารมณ์ จิตใจ ของเด็กทั้งสิ้น เพราะการสื่อความหมายทางภาษาของผู้ใหญ่ต่อเด็กนั้นมีทั้งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ คำพูดในเชิงบวกจะเป็นการเสริมสร้างสัมพันธภาพและพัฒนาการด้านจิตใจให้แก่เด็กแต่การพูดในเชิงลบเป็นตัวทำลายความรู้สึกและจิตใจของเด็ก ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพโดยรวมของเด็กได้ และบุคลิกภาพนั้นอาจติดตัวเด็กไปจนโต อาจส่งผลต่อสถานภาพทางสังคมเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ (พัชรี ผลโยธิน, 2551)
เนื้อเรื่อง
ภาษาเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ และเป็นพฤติกรรมชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางสังคม เกิดความอบอุ่น เกิดแนวคิดใหม่ๆ ตลอดจนความรู้สึกต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้าง เด็กสามารถสร้างจินตนาการในสมองซึ่งก่อให้เกิดการทดลองขึ้น เด็กสามารถสร้างจินตนาการถึงวัตถุนั้นจะอยู่นอกสายตาหรืออยู่ในอดีต เด็กสามารถทำการทดลองให้สมองและทำได้เร็วกว่าการจัดกระทำกับวัตถุนั้นจริง ๆและเด็กจำเป็นจะต้องเรียนรู้ภาษาเพื่อใช้ในการสื่อความหมาย การคิด จินตนาการ การแสดงออก และการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเด็กจะต้องมีความพร้อมทางภาษาในด้าน การฟัง อ่าน และเขียนไปพร้อม ๆ กัน อย่างมีความหมายเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการครบทุกด้าน เป็นไปตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ (ดวงเดือน ศาสตรภัทร, 2549 : 214 – 215)
ซึ่งผู้ที่มีอิทธิผลต่อเด็กโดยตรงคือครูหรือผู้ดูแล ซึ่งภาษาของครูหรือผู้ดูแลนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งหากครูใช้คำพูดในเชิงสร้างสรรค์หรือคำพูดในเชิงบวกก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กเป็นไปในทางที่ดีในการจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมตามตารางกิจกรรมประจำวันที่โรงเรียน ทุกกิจกรรมต้องอาศัยกระบวนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ จึงจะทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นการควบคุมหรือจัดการชั้นเรียนของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่เด็กได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยการใช้ท่าทางและการเคลื่อน ไหวตามจังหวะเพลง ทำนอง ดนตรีต่างๆ ซึ่งในนี้จะมีจุดมุ่งหมายให้เด็กรู้จักสร้างสรรค์ท่าทางด้วยตนเองที่มีความแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้น การพูดเพื่อส่งเสริมให้เด็กสร้างสรรค์ท่าทางจะเกิดขึ้นในกิจกรรมการเคลื่อนไหวนี้ เช่น ครูอาจบอกว่า เด็กลองทำท่าทางการเดินของสัตว์ที่เด็กชอบ และเดินไม่ให้ชนกัน เด็กๆลองทำเสียงร้องของสัตว์ที่เด็กชอบ เด็กๆลองทำท่า ทางของคนอาชีพต่างๆ เช่น ครู คนขายของ ตำรวจจราจร และเมื่อเด็กทำได้ ครูก็ใช้คำพูดในเชิงสร้างสรรค์หรือเสริมแรงเพื่อให้กำลังใจให้เด็กคิดท่าทางหรือแสดงออกสร้างสรรค์มากขึ้น. (นิติธร ปิลวาสน์, 2558: ออนไลน์)
ดังนั้นครูจึงควรมีเทคนิคในการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย เช่น การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย เนื่องจากสภาพแวดล้อมในห้องเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่ส่งผลต่อความต้องการในการเรียนภาษาของเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนภาษาของเด็กต้อง สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กสำรวจ ปฏิบัติจริง เป็นผู้กระทำด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้เด็กเป็นอิสระได้สังเกตและตั้งสมมุติฐาน ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบุคคลรอบข้าง เป็นสิ่งแวดล้อมที่เน้นความหมายมากกว่ารูปแบบ ควรยอมรับการสื่อสารของเด็กในรูปแบบต่างๆโดยคำนึงถึงความหมายที่เด็กต้องการสื่อมากกว่าความถูกต้องทางไวยากรณ์ อาจใช้การกระต้นให้เด็กมีการสื่อสารโดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย ดังต่อไปนี้ เช่น
1. การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ (Morning Message) เป็นกิจกรรมที่เด็กและครูได้สนทนาร่วมกันในช่วงเริ่มต้นกิจกรรมของแต่ละวัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และได้เปลี่ยนกันเป็นผู้พูดและผู้ฟัง ครูควรส่งเสริมให้เด็กมีมารยาทที่ดีในการพูดและการฟัง หากเด็กคนใดไม่ต้องการพูดก็ไม่ควรถูกบังคับให้พูด เพื่อให้เด็กที่ไม่มั่นใจในตนเองรู้สึกสบายใจที่จะมีส่วนร่วมในการฟังการสนทนา การที่เด็กได้เล่าเรื่องให้เพื่อนฟังทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น เด็กได้ใช้ภาษาบ่อยขึ้น เด็กจะรู้จักใช้คำถามถามเพื่อน รู้จักการหาข้อมูลไว้ตอบคำถาม เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยังช่วยพัฒนาการยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นพูดอีกด้วย ระหว่างการสนทนา ครูควรมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในการสนทนา
2. การอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Reading Aloud) โดยครูเลือกหนังสือที่เด็กสนใจมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรอ่านชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ อ่านเนื้อเรื่องพร้อมกับชี้ข้อความขณะที่อ่าน เปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถาม หรือสนทนาเกี่ยวกับตัวละคร หรือเรื่องราวในหนังสือ ครูอาจเชิญชวนให้เด็กคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องบ้าง และควรเตรียมข้อมูลที่ช่วยให้เด็กเข้าใจคำยากที่ปรากฏในเรื่อง ถามคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ช่วงเวลาที่ครูอ่านหนังสือให้เด็กฟังนี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น และมีความสุข ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก ครูควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวันเพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน และช่วยให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ การใช้สิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเน
(หรรษา นิลวิเชียร, 2535: 211-212)
สรุป
จากที่ได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการสื่อสารและภาษานั้นมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเด็กปฐมวัยทั้งสิ้นและการมีปฏิสัมพันธ์ด้วยการพูดของครูล้วนแต่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของเด็กทั้งสิ้น ครูจึงควรมีความฉลาดทางอารมณ์และวางแผน ตัดสินใจในการพูดอย่างระมัดระวัง ครูควรให้ความสำคัญกับการใช้ปฏิสัมพันธ์เป็นอย่างมากกับเด็ก ไม่เพียงแต่การพูดของครูที่ใช้ในการสื่อสารกับเด็กเท่านั้น รวมถึงปฏิสัมพันธ์และพฤติกรรมทุกๆอย่างของครูที่เด็กจะเลียนแบบได้ ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นการพูดเชิงบวก เป็นวิธีการที่จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาด้านอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพ ดังนั้นการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ ร่วมถึงเทคนิคการกระตุ้นให้เด็กสื่อสารและการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยนั้นมีความสำคัญต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยซึ่งจะช่วยในเรื่องการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาความสามารถของเด็กได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับช่วงอายุตามความสนใจและความแตกต่างของเด็กแต่ละคน ครูหรือผู้ดูแลเด็กควรให้ความสนใจและใส่ใจเมื่อกับพฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กในด้านการสื่อสารและด้านอื่นๆ เพื่อที่จะแก้ไขและพัฒนาให้เด็กมีพัฒนาการที่ถูกต้อง สมบูรณ์ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
บรรณานุกรม
ดวงเดือน ศาสตรภัทร. (2535). การวัดและประเมินพัฒนาการด้านการ คิดของเด็กปฐมวัย. นนทบุรี:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช.
นิติธร ปิลวาสน์. (2558). การสนทนาเชิงบวก (Positive conversation). (ออนไลน์). แหล่งที่มา: http://taamkru.com/th/
การสนทนาเชิงบวก/#article107.html (20 กรกฎาคม 2558)
พัชรี ผลโยธิน. (2540). การเล่นกับภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พัชรี ผลโยธิน. (2551). รวมนวัตกรรมทฤษฏีการศึกษาปฐมวัยสู่การประยุกต์ใช้ในห้องเรียน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
หรรษา นิลวิเชียร. (2535). ปฐมวัย หลักสูตรและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์โอเอสพริ้นติ้งเฮ้าส์.
นางสาวชัชมา เทพวรสุข
รหัส 571761321017
บทนำ
ภาษามีบทบาทและหน้าที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร สื่อความหมายให้เข้าใจซึ่งกันและกัน ประกอบด้วยการรับข้อมูล และการส่งข้อมูล ผ่านการคิดและสัญลักษณ์ เป็นระบบการสื่อสารที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์กลุ่มชนที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม โดยใช้ทักษะภาษาทั้ง 4 ด้านคือ พูด ฟัง อ่าน เขียน ความหมายของภาษาคือ ภาษาเป็นระบบสัญลักษณ์และความคิดที่สื่อออกมาด้วยการพูดเขียนและใช้เสียง ภาษามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตเช่น การสื่อสาร การคิด การเรียนรู้ ใช้เพื่อแสดงความต้องการ ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งถ้าหากขาดการเรียนรู้ทางภาษาย่อมทำให้ก้าวไม่ทันเหตุการณ์ต่างๆ (พัชรี ผลโยธิน, 2540)
โดยเฉพาะภาษาในเด็กปฐมวัย เพราะเป็นรากฐานสำคัญและมีความจำเป็นที่สุดต่อการพัฒนาทางด้านต่างๆ ในเด็กก็เช่นกันใช้ภาษาในการสื่อสารความคิดความต้องการของตนเองกับผู้อื่น ซึ่งก่อให้เกิดกระบวนการทางสังคม โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือแสดงความต้องการ ความช่วยเหลือ เช่นเดียวกับภาษาของผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือ ผู้เลี้ยงดูเด็กนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาบุคลิกภาพและพัฒนาการของเด็กได้และในการสื่อสารของผู้ใหญ่กับเด็กในช่วงปฐมวัยนั้น ทำให้เด็กเกิดการแสดงออกทางอารมณ์ และเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดทำให้รับรู้ถึงความต้องการของเด็กเป็นรายบุคคล คำพูดที่ออกมาจากผู้ใหญ่สู่เด็กนั้น ล้วนมีผลกระทบต่ออารมณ์ จิตใจ ของเด็กทั้งสิ้น เพราะการสื่อความหมายทางภาษาของผู้ใหญ่ต่อเด็กนั้นมีทั้งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ คำพูดในเชิงบวกจะเป็นการเสริมสร้างสัมพันธภาพและพัฒนาการด้านจิตใจให้แก่เด็กแต่การพูดในเชิงลบเป็นตัวทำลายความรู้สึกและจิตใจของเด็ก ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพโดยรวมของเด็กได้ และบุคลิกภาพนั้นอาจติดตัวเด็กไปจนโต อาจส่งผลต่อสถานภาพทางสังคมเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ (พัชรี ผลโยธิน, 2551)
เนื้อเรื่อง
ภาษาเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ และเป็นพฤติกรรมชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางสังคม เกิดความอบอุ่น เกิดแนวคิดใหม่ๆ ตลอดจนความรู้สึกต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้าง เด็กสามารถสร้างจินตนาการในสมองซึ่งก่อให้เกิดการทดลองขึ้น เด็กสามารถสร้างจินตนาการถึงวัตถุนั้นจะอยู่นอกสายตาหรืออยู่ในอดีต เด็กสามารถทำการทดลองให้สมองและทำได้เร็วกว่าการจัดกระทำกับวัตถุนั้นจริง ๆและเด็กจำเป็นจะต้องเรียนรู้ภาษาเพื่อใช้ในการสื่อความหมาย การคิด จินตนาการ การแสดงออก และการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเด็กจะต้องมีความพร้อมทางภาษาในด้าน การฟัง อ่าน และเขียนไปพร้อม ๆ กัน อย่างมีความหมายเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการครบทุกด้าน เป็นไปตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ (ดวงเดือน ศาสตรภัทร, 2549 : 214 – 215)
ซึ่งผู้ที่มีอิทธิผลต่อเด็กโดยตรงคือครูหรือผู้ดูแล ซึ่งภาษาของครูหรือผู้ดูแลนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งหากครูใช้คำพูดในเชิงสร้างสรรค์หรือคำพูดในเชิงบวกก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กเป็นไปในทางที่ดีในการจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมตามตารางกิจกรรมประจำวันที่โรงเรียน ทุกกิจกรรมต้องอาศัยกระบวนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ จึงจะทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นการควบคุมหรือจัดการชั้นเรียนของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่เด็กได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยการใช้ท่าทางและการเคลื่อน ไหวตามจังหวะเพลง ทำนอง ดนตรีต่างๆ ซึ่งในนี้จะมีจุดมุ่งหมายให้เด็กรู้จักสร้างสรรค์ท่าทางด้วยตนเองที่มีความแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้น การพูดเพื่อส่งเสริมให้เด็กสร้างสรรค์ท่าทางจะเกิดขึ้นในกิจกรรมการเคลื่อนไหวนี้ เช่น ครูอาจบอกว่า เด็กลองทำท่าทางการเดินของสัตว์ที่เด็กชอบ และเดินไม่ให้ชนกัน เด็กๆลองทำเสียงร้องของสัตว์ที่เด็กชอบ เด็กๆลองทำท่า ทางของคนอาชีพต่างๆ เช่น ครู คนขายของ ตำรวจจราจร และเมื่อเด็กทำได้ ครูก็ใช้คำพูดในเชิงสร้างสรรค์หรือเสริมแรงเพื่อให้กำลังใจให้เด็กคิดท่าทางหรือแสดงออกสร้างสรรค์มากขึ้น. (นิติธร ปิลวาสน์, 2558: ออนไลน์)
ดังนั้นครูจึงควรมีเทคนิคในการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย เช่น การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย เนื่องจากสภาพแวดล้อมในห้องเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่ส่งผลต่อความต้องการในการเรียนภาษาของเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนภาษาของเด็กต้อง สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กสำรวจ ปฏิบัติจริง เป็นผู้กระทำด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้เด็กเป็นอิสระได้สังเกตและตั้งสมมุติฐาน ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบุคคลรอบข้าง เป็นสิ่งแวดล้อมที่เน้นความหมายมากกว่ารูปแบบ ควรยอมรับการสื่อสารของเด็กในรูปแบบต่างๆโดยคำนึงถึงความหมายที่เด็กต้องการสื่อมากกว่าความถูกต้องทางไวยากรณ์ อาจใช้การกระต้นให้เด็กมีการสื่อสารโดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย ดังต่อไปนี้ เช่น
1. การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ (Morning Message) เป็นกิจกรรมที่เด็กและครูได้สนทนาร่วมกันในช่วงเริ่มต้นกิจกรรมของแต่ละวัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และได้เปลี่ยนกันเป็นผู้พูดและผู้ฟัง ครูควรส่งเสริมให้เด็กมีมารยาทที่ดีในการพูดและการฟัง หากเด็กคนใดไม่ต้องการพูดก็ไม่ควรถูกบังคับให้พูด เพื่อให้เด็กที่ไม่มั่นใจในตนเองรู้สึกสบายใจที่จะมีส่วนร่วมในการฟังการสนทนา การที่เด็กได้เล่าเรื่องให้เพื่อนฟังทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น เด็กได้ใช้ภาษาบ่อยขึ้น เด็กจะรู้จักใช้คำถามถามเพื่อน รู้จักการหาข้อมูลไว้ตอบคำถาม เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยังช่วยพัฒนาการยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นพูดอีกด้วย ระหว่างการสนทนา ครูควรมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในการสนทนา
2. การอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Reading Aloud) โดยครูเลือกหนังสือที่เด็กสนใจมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรอ่านชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ อ่านเนื้อเรื่องพร้อมกับชี้ข้อความขณะที่อ่าน เปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถาม หรือสนทนาเกี่ยวกับตัวละคร หรือเรื่องราวในหนังสือ ครูอาจเชิญชวนให้เด็กคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องบ้าง และควรเตรียมข้อมูลที่ช่วยให้เด็กเข้าใจคำยากที่ปรากฏในเรื่อง ถามคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ช่วงเวลาที่ครูอ่านหนังสือให้เด็กฟังนี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น และมีความสุข ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก ครูควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวันเพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน และช่วยให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ การใช้สิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเน
(หรรษา นิลวิเชียร, 2535: 211-212)
สรุป
จากที่ได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการสื่อสารและภาษานั้นมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเด็กปฐมวัยทั้งสิ้นและการมีปฏิสัมพันธ์ด้วยการพูดของครูล้วนแต่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของเด็กทั้งสิ้น ครูจึงควรมีความฉลาดทางอารมณ์และวางแผน ตัดสินใจในการพูดอย่างระมัดระวัง ครูควรให้ความสำคัญกับการใช้ปฏิสัมพันธ์เป็นอย่างมากกับเด็ก ไม่เพียงแต่การพูดของครูที่ใช้ในการสื่อสารกับเด็กเท่านั้น รวมถึงปฏิสัมพันธ์และพฤติกรรมทุกๆอย่างของครูที่เด็กจะเลียนแบบได้ ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นการพูดเชิงบวก เป็นวิธีการที่จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาด้านอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพ ดังนั้นการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ ร่วมถึงเทคนิคการกระตุ้นให้เด็กสื่อสารและการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยนั้นมีความสำคัญต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยซึ่งจะช่วยในเรื่องการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาความสามารถของเด็กได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับช่วงอายุตามความสนใจและความแตกต่างของเด็กแต่ละคน ครูหรือผู้ดูแลเด็กควรให้ความสนใจและใส่ใจเมื่อกับพฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กในด้านการสื่อสารและด้านอื่นๆ เพื่อที่จะแก้ไขและพัฒนาให้เด็กมีพัฒนาการที่ถูกต้อง สมบูรณ์ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
บรรณานุกรม
ดวงเดือน ศาสตรภัทร. (2535). การวัดและประเมินพัฒนาการด้านการ คิดของเด็กปฐมวัย. นนทบุรี:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช.
นิติธร ปิลวาสน์. (2558). การสนทนาเชิงบวก (Positive conversation). (ออนไลน์). แหล่งที่มา: http://taamkru.com/th/
การสนทนาเชิงบวก/#article107.html (20 กรกฎาคม 2558)
พัชรี ผลโยธิน. (2540). การเล่นกับภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พัชรี ผลโยธิน. (2551). รวมนวัตกรรมทฤษฏีการศึกษาปฐมวัยสู่การประยุกต์ใช้ในห้องเรียน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
หรรษา นิลวิเชียร. (2535). ปฐมวัย หลักสูตรและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์โอเอสพริ้นติ้งเฮ้าส์.