Image
ฉากที่ 7
ฉากที่ 6
Image
ฉากที่ 6
ฉากที่ 5
ฉากที่ 4
ฉากที่ 3
ฉากที่1
ฉากที่2
หน้าปก
น้องเนยผู้พอเพียง
นิทานเรื่อง น้องเนยผู้พอเพียง
ที่ทุ่งกว้างแห่งหนึ่ง มีครอบครัวเล็กๆอันแสนอบอุ่นครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกอยู่ 4 คน คือ พ่อ แม่ และลูกฝาแฝดคู่หนึ่ง ชื่อ น้องแยม และน้องเนย ทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้านหลังน้อยมีอาหารการกินอย่างอุดมสมบูรณ์เพราะพ่อแม่นั้นปลูกข้าวและผักผลไม้ไว้มากมาย
วันหนึ่งพ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ลูกทั้ง 2 ก็โตพอที่จะแยกไปอยู่ตามลำพังได้แล้ว
แม่ : "ลูกเราก็โตพอที่จะแยกออกไปอยู่ตามลำพังได้แล้วนะ"
พ่อ : "จ๊ะ เดี๋ยวพ่อจะพูดกับลูกๆนะ"
พ่อจึงบอกให้น้องแยม และน้องเนยทราบในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้า
พ่อ : "ลูกๆเอ้ย พ่อคิดว่าถึงเวลาแล้วละที่ลูกทั้งสองควรออกไปอยู่ตามลำพัง"
ลูกๆ : ทำไมละค่ะพ่อ
พ่อ : ลูกๆโตแล้วถึงเวลาที่ต้องอยู่ตามลำพัง พ่อแม่ก็นับวันแก่เฒ่าลง ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ตลอดชีวิตได้หรอก
ลูกๆ : ค่ะคุณพ่อ
พ่อให้น้องแยมกับน้องเนยขอสิ่งที่ที่ต้องการในการใช้ชีวิตตามลำพังโดยให้น้องแยมขอก่อน น้องแยมขอเงินทองและไร่นาของพ่อส่วนหนึ่ง พ่อจึงยกให้ ส่วนน้องเนยกลับขอเมล็ดพันธ์ข้าวและเมล็ดพันธ์พืชผักต่างๆของพ่อพร้อมที่ดินส่วนหนึ่ง พ่อก็ยกให้ด้วยความประหลาดใจที่น้องเนยไม่ขอเงินทอง
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว น้องแยมและน้องเนยจึงออกจากบ้านของพ่อ แม่ ไปสร้างบ้านของตนเองคนละหลัง โดยแยมนั้นสร้างบ้านหลังใหญ่อยู่ใกล้ๆทุ่งนาที่พ่อยกให้
ส่วนเนยสร้างบ้านหลังใหม่ซึ่งไม่ใหญ่นักบริเวณทุ่งนาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเดิมนักแล้วเริ่มลงมือถากถางหญ้าและพรวนดินอย่างขยันขันแข็ง เพื่อเตรียมไว้สำหรับเพาะปลูก
น้องแยมนั้นมีความสุขมากในบ้านหลังใหญ่ เพราะไม่ต้องทำงานเหมือนตอนอยู่กับพ่อแม่ และใช้เงินทองที่พ่อยกให้อย่างฟุ่มเฟือย อยากได้อะไรก็ซื้อ น้องแยมไม่ทำงานใดๆเลยนอกจากกินแล้วก็นอน
ส่วน้องเนยนั้นเมื่อเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเสร็จแล้วนำเมล็ดพันธ์ข้าวและผักผลไม้มาปลูกและหมั่นดูแลรดน้ำทุกวันจนข้าวและพืชผักค่อยๆงอกเติบโตขึ้นเรื่อยๆในที่สุดก็มีรวงข้าวสีทองเต็มทุ่งนา และพืชผักผลไม้เต็มสวน น้องเนยได้แบ่งปันข้าวและพืชผักผลไม้ให้พ่อแม่ และเพื่อนบ้าน
พ่อแม่เมื่อเห็นน้องแยมเอาแต่กินกับนอนและใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยก็รู้สึกเป็นห่วงว่าต่อไปน้องแยมต้องลำบาก แต่เมื่อเห็นน้องเนยขยันขันแข็งปลูกข้าวและผักผลไม้เต็มทุ่งแล้วยังแบ่งปันมาให้พ่อแม่อีกด้วยก็รู้สึกชื่นชมยินดี
ในที่สุดเงินทองของน้องแยมก็หมด ทำให้น้องแยมต้องอดอาหาร โชคดีวันนี้น้องเนยมาเยี่ยมและนำอาหารมาฝากด้วย
น้องแยมดีใจมากที่ได้อาหาร จึงถามน้องเนยว่า
น้องแยม : "เธอเอาอาหารมาจากไหนเยอะแยะ"?
น้องเนย : ฉันมีโอกาสได้ดูโทรทัศน์และได้เห็นโครงการตามพระราชดำรัชเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พอดีฉันได้เมล็ดพันธุ์ข้าวและผักผลไม้จากพ่อมา ฉันเลยลงมือปลูกไว้ที่ทุ่งนาของฉัน ฉันจะพาเธอไปดูข้าวและผักที่ฉันปลูกไว้ที่ทุ่งนาของฉัน ตามพระราชดำรัชของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าอยู่อย่างพอเพียง พอมีพอกิน มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ ”
น้องเนยจึงพาไปดูข้าวและพืชผักผลไม้ที่ตนปลูกไว้ที่ทุ่งนา
น้องแยมรู้สึกชื่นชมในความขยันและอดทนของน้องเนยมาก และรู้สึกระอายใจตนที่เอาแต่กินกับนอนไม่ขยันหมั่นเพียรเหมือนน้องเนย
เมื่อน้องแยมสำนึกได้แล้วจึงขอเมล็ดพันธ์ข้าวและพืชผักจากน้องเนยและลงมือเพาะปลูกที่ทุ่งนาของตนเอง น้องแยมหมั่นดูแลรดน้ำ จนในที่สุดก็มีข้าวและอาหารกินมากมายสามารถแบ่งปันข้าวและผักผลไม้ให้พ่อแม่อีกด้วย
พ่อแม่ก็รู้สึกดีใจที่ลูกทั้งสองสามารถใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังได้อย่างมีความสุข ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนเอง และอยู่อย่างพอเพียง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อยู่อย่างพอเพียง พอมีพอกิน มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ชีวิตก็มีสุข
ที่ทุ่งกว้างแห่งหนึ่ง มีครอบครัวเล็กๆอันแสนอบอุ่นครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกอยู่ 4 คน คือ พ่อ แม่ และลูกฝาแฝดคู่หนึ่ง ชื่อ น้องแยม และน้องเนย ทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้านหลังน้อยมีอาหารการกินอย่างอุดมสมบูรณ์เพราะพ่อแม่นั้นปลูกข้าวและผักผลไม้ไว้มากมาย
วันหนึ่งพ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ลูกทั้ง 2 ก็โตพอที่จะแยกไปอยู่ตามลำพังได้แล้ว
แม่ : "ลูกเราก็โตพอที่จะแยกออกไปอยู่ตามลำพังได้แล้วนะ"
พ่อ : "จ๊ะ เดี๋ยวพ่อจะพูดกับลูกๆนะ"
พ่อจึงบอกให้น้องแยม และน้องเนยทราบในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้า
พ่อ : "ลูกๆเอ้ย พ่อคิดว่าถึงเวลาแล้วละที่ลูกทั้งสองควรออกไปอยู่ตามลำพัง"
ลูกๆ : ทำไมละค่ะพ่อ
พ่อ : ลูกๆโตแล้วถึงเวลาที่ต้องอยู่ตามลำพัง พ่อแม่ก็นับวันแก่เฒ่าลง ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ตลอดชีวิตได้หรอก
ลูกๆ : ค่ะคุณพ่อ
พ่อให้น้องแยมกับน้องเนยขอสิ่งที่ที่ต้องการในการใช้ชีวิตตามลำพังโดยให้น้องแยมขอก่อน น้องแยมขอเงินทองและไร่นาของพ่อส่วนหนึ่ง พ่อจึงยกให้ ส่วนน้องเนยกลับขอเมล็ดพันธ์ข้าวและเมล็ดพันธ์พืชผักต่างๆของพ่อพร้อมที่ดินส่วนหนึ่ง พ่อก็ยกให้ด้วยความประหลาดใจที่น้องเนยไม่ขอเงินทอง
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว น้องแยมและน้องเนยจึงออกจากบ้านของพ่อ แม่ ไปสร้างบ้านของตนเองคนละหลัง โดยแยมนั้นสร้างบ้านหลังใหญ่อยู่ใกล้ๆทุ่งนาที่พ่อยกให้
ส่วนเนยสร้างบ้านหลังใหม่ซึ่งไม่ใหญ่นักบริเวณทุ่งนาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเดิมนักแล้วเริ่มลงมือถากถางหญ้าและพรวนดินอย่างขยันขันแข็ง เพื่อเตรียมไว้สำหรับเพาะปลูก
น้องแยมนั้นมีความสุขมากในบ้านหลังใหญ่ เพราะไม่ต้องทำงานเหมือนตอนอยู่กับพ่อแม่ และใช้เงินทองที่พ่อยกให้อย่างฟุ่มเฟือย อยากได้อะไรก็ซื้อ น้องแยมไม่ทำงานใดๆเลยนอกจากกินแล้วก็นอน
ส่วน้องเนยนั้นเมื่อเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเสร็จแล้วนำเมล็ดพันธ์ข้าวและผักผลไม้มาปลูกและหมั่นดูแลรดน้ำทุกวันจนข้าวและพืชผักค่อยๆงอกเติบโตขึ้นเรื่อยๆในที่สุดก็มีรวงข้าวสีทองเต็มทุ่งนา และพืชผักผลไม้เต็มสวน น้องเนยได้แบ่งปันข้าวและพืชผักผลไม้ให้พ่อแม่ และเพื่อนบ้าน
พ่อแม่เมื่อเห็นน้องแยมเอาแต่กินกับนอนและใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยก็รู้สึกเป็นห่วงว่าต่อไปน้องแยมต้องลำบาก แต่เมื่อเห็นน้องเนยขยันขันแข็งปลูกข้าวและผักผลไม้เต็มทุ่งแล้วยังแบ่งปันมาให้พ่อแม่อีกด้วยก็รู้สึกชื่นชมยินดี
ในที่สุดเงินทองของน้องแยมก็หมด ทำให้น้องแยมต้องอดอาหาร โชคดีวันนี้น้องเนยมาเยี่ยมและนำอาหารมาฝากด้วย
น้องแยมดีใจมากที่ได้อาหาร จึงถามน้องเนยว่า
น้องแยม : "เธอเอาอาหารมาจากไหนเยอะแยะ"?
น้องเนย : ฉันมีโอกาสได้ดูโทรทัศน์และได้เห็นโครงการตามพระราชดำรัชเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พอดีฉันได้เมล็ดพันธุ์ข้าวและผักผลไม้จากพ่อมา ฉันเลยลงมือปลูกไว้ที่ทุ่งนาของฉัน ฉันจะพาเธอไปดูข้าวและผักที่ฉันปลูกไว้ที่ทุ่งนาของฉัน ตามพระราชดำรัชของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าอยู่อย่างพอเพียง พอมีพอกิน มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ ”
น้องเนยจึงพาไปดูข้าวและพืชผักผลไม้ที่ตนปลูกไว้ที่ทุ่งนา
น้องแยมรู้สึกชื่นชมในความขยันและอดทนของน้องเนยมาก และรู้สึกระอายใจตนที่เอาแต่กินกับนอนไม่ขยันหมั่นเพียรเหมือนน้องเนย
เมื่อน้องแยมสำนึกได้แล้วจึงขอเมล็ดพันธ์ข้าวและพืชผักจากน้องเนยและลงมือเพาะปลูกที่ทุ่งนาของตนเอง น้องแยมหมั่นดูแลรดน้ำ จนในที่สุดก็มีข้าวและอาหารกินมากมายสามารถแบ่งปันข้าวและผักผลไม้ให้พ่อแม่อีกด้วย
พ่อแม่ก็รู้สึกดีใจที่ลูกทั้งสองสามารถใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังได้อย่างมีความสุข ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนเอง และอยู่อย่างพอเพียง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อยู่อย่างพอเพียง พอมีพอกิน มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ชีวิตก็มีสุข