นิทาน เรื่องดุ๊กดิ๊กผจญภัย
นิทานเรื่อง...ดุ๊กดิ๊กผจญภัย
........"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสนัขขนสีขาวปุ๊กปุยน่ารัก มีชื่อว่า "ดุ๊กดิ๊ก" ดุ๊กดิ๊กเป็นสุนัขที่ซนมาก ชอบวิ่งเล่นไปเรียนรู้โลกกว้าง. ทุกๆวัน ดุ๊กดิ๊กก็จะไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าข้างหมู่บ้าน. มีลำธารน้ำใสๆ ดุ๊กดิ๊กชอบมาก
อยู่มาวันหนึ่ง ดุ๊ก๊กก็ไปเดินเล่นตามปกติ แต่บังเอิญเดินไปเหยียบหางเจ้างูเหลือมเข้า.
เจ้างูเหลือมตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความโมโห ร้องตะโกนขึ้น
" นี่เจ้าเป็นใครทำไมเดินซุ่มซ่ามอย่างนี้"
เจ้าดุ๊กดิ๊กตอบว่า "ขอโทษด้วยพี่งู ฉันชื่อดุ๊กดิ๊ก ฉันมองไม่เห็น ฉันขอโทษนะ"
แต่เจ้างูไม่ยอมลดละจ้องจะกินเจ้าดุ๊กดิ๊กตลอดเวลา "ไม่ได้ไม่ได้ เจ้าต้องมาเป็นอาหารของฉัน เพราะฉันกำลังหิวและหิวมากด้วย" เจ้างูเหลือมกล่าว ส่วนเจ้าดุ๊กดิ๊กไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงยอมให้เจ้างูกินเป็นอาหาร
เจ้าดุ๊กดิ๊กบอกว่า "งั้นพี่งูก็อ้าปากกว้างๆสิ ฉันจะเดินเข้าไปในปากพี่เลยโดยที่พี่งูไม่ต้องเหนื่อย" ว่าแล้วพี่งูก็อ้าปากกว้าง แต่ก็ยังไม่พอ พี่งูต้องอ้าปากให้กว้างกว่านี้อีก จนกระทั่งกว้างพอแล้ว เจ้าดุ๊กดิ๊กเห็นเจ้างูเผลอก็เลยไปคาบเอาไม้มาค้ำปากเจ้างู ทำให้เจ้างูเอาปากลงไม่ได้ ต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น. เจ้างูเหลือมได้ขอให้เจ้าดุ๊กดิ๊กเอาไม้ค้ำปากออกให้ เพราะถ้าไม่เอาไม้ค้ำออกเจ้างูเหลือมต้องตายแน่ๆเลย เจ้าดุ๊กดิ๊กเกิดความสงสาร จึงได้ให้เจ้างูเหลือมรับปากว่าถ้าเอาไม้ออกแล้วพี่งูจะไม่กินดุ๊กดิ๊ก
เจ้างูเหลือมรับปาก เจ้าดุ๊กดิ๊กจึงเอาไม้ออกจากปากให้เจ้างูเหลือม เจ้างูเหลือมรู้สึกซานซึ้มมากถึงแม้ตัวเองจะคิดร้ายต่อเจ้าดุ๊กดิ๊กแต่เจ้าดุ๊กดิ๊กก็ยังให้อภัย และทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน
........"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสนัขขนสีขาวปุ๊กปุยน่ารัก มีชื่อว่า "ดุ๊กดิ๊ก" ดุ๊กดิ๊กเป็นสุนัขที่ซนมาก ชอบวิ่งเล่นไปเรียนรู้โลกกว้าง. ทุกๆวัน ดุ๊กดิ๊กก็จะไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าข้างหมู่บ้าน. มีลำธารน้ำใสๆ ดุ๊กดิ๊กชอบมาก
อยู่มาวันหนึ่ง ดุ๊ก๊กก็ไปเดินเล่นตามปกติ แต่บังเอิญเดินไปเหยียบหางเจ้างูเหลือมเข้า.
เจ้างูเหลือมตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความโมโห ร้องตะโกนขึ้น
" นี่เจ้าเป็นใครทำไมเดินซุ่มซ่ามอย่างนี้"
เจ้าดุ๊กดิ๊กตอบว่า "ขอโทษด้วยพี่งู ฉันชื่อดุ๊กดิ๊ก ฉันมองไม่เห็น ฉันขอโทษนะ"
แต่เจ้างูไม่ยอมลดละจ้องจะกินเจ้าดุ๊กดิ๊กตลอดเวลา "ไม่ได้ไม่ได้ เจ้าต้องมาเป็นอาหารของฉัน เพราะฉันกำลังหิวและหิวมากด้วย" เจ้างูเหลือมกล่าว ส่วนเจ้าดุ๊กดิ๊กไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงยอมให้เจ้างูกินเป็นอาหาร
เจ้าดุ๊กดิ๊กบอกว่า "งั้นพี่งูก็อ้าปากกว้างๆสิ ฉันจะเดินเข้าไปในปากพี่เลยโดยที่พี่งูไม่ต้องเหนื่อย" ว่าแล้วพี่งูก็อ้าปากกว้าง แต่ก็ยังไม่พอ พี่งูต้องอ้าปากให้กว้างกว่านี้อีก จนกระทั่งกว้างพอแล้ว เจ้าดุ๊กดิ๊กเห็นเจ้างูเผลอก็เลยไปคาบเอาไม้มาค้ำปากเจ้างู ทำให้เจ้างูเอาปากลงไม่ได้ ต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น. เจ้างูเหลือมได้ขอให้เจ้าดุ๊กดิ๊กเอาไม้ค้ำปากออกให้ เพราะถ้าไม่เอาไม้ค้ำออกเจ้างูเหลือมต้องตายแน่ๆเลย เจ้าดุ๊กดิ๊กเกิดความสงสาร จึงได้ให้เจ้างูเหลือมรับปากว่าถ้าเอาไม้ออกแล้วพี่งูจะไม่กินดุ๊กดิ๊ก
เจ้างูเหลือมรับปาก เจ้าดุ๊กดิ๊กจึงเอาไม้ออกจากปากให้เจ้างูเหลือม เจ้างูเหลือมรู้สึกซานซึ้มมากถึงแม้ตัวเองจะคิดร้ายต่อเจ้าดุ๊กดิ๊กแต่เจ้าดุ๊กดิ๊กก็ยังให้อภัย และทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน
บันทึกการสะท้อนคิดบทเรียนที่ได้จากการพัฒนานิทาน
สิ่งที่เรียนรู้จากการเล่านิทาน
1. เด็กเกิดความรู้ใหม่ๆ
2. เรียนรู้การเก็บเด็ก
3. เรียนรู้พฤติกรรมของเด็กแต่ละคน
4. ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงเมื่อเด็กๆได้ฟังนิทาน
5. ฝึกการพูด
ความรู้สึกที่มีต่อการสร้างนิทาน
1. ไม่รู้จากสร้างนิทานเรื่องอะไรดี
2. นิทานเรื่องนี้จะเหมาะกับเด็กไหม?
3. เด็กจะสนใจฟังรึเปล่า
4. คุณครูใช้คำพูดที่น่าฟังรือเปล่า
5. นิทานยากมากต้องใช้จิตนาการสูง
มีขั้นตอนในการสร้างนิทานอย่างไร
1. คิดเรื่องราวนิทาน
2. สร้างตัวละครและฉาก
ปัญหาและอุปสรรค์
1. เด็กสมาธิสั้นเก็บเด็กยาก
2. ขาดทักษะในการผลิตสือ
แนวทางแก้ไข
1. เล่านิทานให้กระชับและน่าสนใจมากขึ้น
2. ฝึกและศึกษาการผลิตสื่อจากอินเตอร์เน็ต
1. เด็กเกิดความรู้ใหม่ๆ
2. เรียนรู้การเก็บเด็ก
3. เรียนรู้พฤติกรรมของเด็กแต่ละคน
4. ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงเมื่อเด็กๆได้ฟังนิทาน
5. ฝึกการพูด
ความรู้สึกที่มีต่อการสร้างนิทาน
1. ไม่รู้จากสร้างนิทานเรื่องอะไรดี
2. นิทานเรื่องนี้จะเหมาะกับเด็กไหม?
3. เด็กจะสนใจฟังรึเปล่า
4. คุณครูใช้คำพูดที่น่าฟังรือเปล่า
5. นิทานยากมากต้องใช้จิตนาการสูง
มีขั้นตอนในการสร้างนิทานอย่างไร
1. คิดเรื่องราวนิทาน
2. สร้างตัวละครและฉาก
ปัญหาและอุปสรรค์
1. เด็กสมาธิสั้นเก็บเด็กยาก
2. ขาดทักษะในการผลิตสือ
แนวทางแก้ไข
1. เล่านิทานให้กระชับและน่าสนใจมากขึ้น
2. ฝึกและศึกษาการผลิตสื่อจากอินเตอร์เน็ต